Ad Extensions (ส่วนขยายโฆษณา) มีไว้เพื่ออะไร บนโฆษณา Google Search
ทำหน้าเพิ่มส่วนขยายโฆษณา ทำให้เรามีพื้นที่โฆษณาเพิ่มขึ้น ทำให้โฆษณาของเราโดดเด่น เห็นชัด น่าดู น่าคลิก กว่าเจ้าอื่น จุดนี้จะทำให้เราได้เปรียบเทียบอย่างมาก เพราะมีโอกาสที่ลูกค้าจะคลิกโฆษณาของเราสูง ทำให้ CTR หรืออัตราการคลิกเพิ่ม (Click Through Rate) เพิ่มสูงขึ้นได้อีกหลายเปอร์เซ็นต์ (มีผลกับอันดับโฆษณา) และมันยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อให้โฆษณาหรือธุรกิจเราในอีกทางหนึ่งด้วย
ตัวอย่าง Ad Extensions ที่พบเห็นได้บ่อยๆ เช่น Call Extension (ปุ่มโทร), Locations (Google Map), Links (สินค้าอื่นๆ), หน้าสินค้าที่เกี่ยวข้อง และอื่นๆ
ที่นี้ เรามาดูกันว่าเจ้าตัว Ad Extensions มีหน้าที่และมีความสำคัญอย่างไรกับการทำโฆษณาบน Google บ้าง
ทำงานยังไง
เป็นตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา การแสดงผลของ Ad Extension จะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละคน จะไม่เหมือนกัน ถ้าเรามีหลายตัว แนะนำให้เอาตัวที่เกี่ยวข้องกับโฆษณามาใช้ เพื่อให้มีสิทธิแสดงผลในระบบการค้นหา และยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับ Quality Score หรือคะแนนคุณภาพโฆษณาแบบขาดกันไม่ได้ด้วย
ถ้าเพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับธุรกิจของเรามากขึ้น จะทำให้คนเห็นโฆษณาของเราเยอะขึ้น คนเห็นได้ง่ายขึ้นในระบบการค้นหา แสดงว่าโฆษณาของเรามีประสิทธิภาพกว่าคู่แข่ง เพราะโดยปกติมันจะช่วยให้คุณได้ web traffic หรือ ได้ลูกค้าจากการโทรหามากขึ้น ทำให้เพิ่ม interactive หรือ เพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างโฆษณากับลูกค้ามากขึ้นด้วย
ประเภทของ Ad Extensions แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
จะแสดงผลตอนไหน
Ad Extensions ไม่ได้การันตีว่า ถ้าใส่ไปในโฆษณาแล้วมันจะแสดงผลต่อการค้นหาเสมอ และปัจจัยที่มีผลต่อการแสดงผลของ มีดังต่อไปนี้
มีต้นทุนไหม
จริงๆ พวก Ad Extensions ไม่มีต้นทุนต่อการทำโฆษณา การคลิกที่โฆษณาหรือคลิกที่ส่วนขยาย เราก็จะต้องจ่ายเงินต่อคลิกอยู่แล้ว หรือถ้าลูกค้าคลิก call extensions (ปุ่มโทร) ก็ต้องจ่ายต่อคลิกอยู่เหมือนเดิม
ก่อนทำต้องเริ่มจากสิ่งนี้ก่อน ถือเป็น best practice ในการทำส่วนขยายโฆษณา
จากภาพตัวอย่าง Snippet Extensions มีสินค้าหลายอย่าง เช่น shampoos, conditioners, hair treatments, styling products, styling tools
- Manual Ad Extensions เราต้องตั้งค่าเอง ใส่ข้อความ ใส่ลิ้ง ที่ต้องการเอง เช่น call, site link, callout, location, picture หรือ structured snippet extensions
- Automated Extensions ส่วนแบบนี้ เราไม่ต้องตั้งค่าเอง ระบบจะจัดการให้ ระบบจะช่วยเพิ่ม performance ให้โฆษณาด้วยระบบการตัดสินใจของ AI และเราจะไม่เห็นมัน ถ้าเรากำลังใช้แบบ Manual อยู่ ตัวอย่างของ automated extensions เช่น Call Extensions ถ้าเรามี goal ว่าจะให้ลูกค้าโทรหาด้วย ระบบจะแสดงเบอร์โทรเพื่อให้ลูกค้าได้โทรกลับ

- ส่วนขยายโฆษณานี้ มันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาให้ดีขึ้น ระบบจะคอยติดตามและวัดผลประสิทธิภาพของมัน
- อันดับโฆษณาและอันดับคะแนน (Ad Rank) ของโฆษณาเรามีเพียงพอต่อการแสดงผล เพราะระบบจำเป็นต้องใช้ Ad Rank ในการคำนวณด้วย

- ทุกส่วนขยายโฆษณาจะต้องเกี่ยวข้องหรือส่วนสัมพันธ์กับธุรกิจ มันฟรีก็จริง และมันจะแสดงผลก็ต่อเมื่อระบบคิดว่ามันจะช่วยให้ performance โฆษณาดีขึ้นเท่านั้น ไม่ได้แปลว่าทำแล้วจะแสดงผลทุกครั้ง
- ต้องทำอย่างน้อย 4 หรือ 5 extensions เช่น เราต้องใส่ sitelink, callout, structured snippet, location และอื่นๆ
- เป็นไปได้ ถ้าทำโฆษณาทุกครั้ง ให้ใส่ Ad Extensions ทุกครั้งจะดีที่สุด
Locations Extensions (แผนที่)
เป็นสิ่งที่ผมอยากแนะนำให้ทำมาก เรียกว่าอย่าให้ของขาด หลายๆ คนอาจจะนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร ง่ายๆ ก็คือ Google Map แหละครับ ถ้าลูกค้าคลิกแล้วมันจะพาไปแผนที่ร้าน (ซึ่งต้องมาตั้งค่า Google My Business Place จะดีที่สุด) ใน Map เราสามารถจะใส่รายละเอียดสินค้า ภาพร้าน วีดีโอ เวลาเปิด-ปิด หรือมีบริการอะไรพิเศษก็สามารถใส่เข้าไปได้เลย มีรีวิว มีการให้คะแนนจากลูกค้าด้วย ซึ่งถ้าทำได้จะเป็นข้อได้เปรียบจากคู่แข่งได้อย่างมาก
Ad Extensions ที่ใช้กันบ่อยๆ ดังนี้
- Callout extensions คือ รายละเอียดหรือข้อความที่ใส่เพิ่มเข้าไปในโฆษณา เช่น ส่งฟรี, รับประกันสินค้า, บริการ 24 ชม. เป็นต้น
- Call extensions คือ ต้องการให้ลูกค้าที่เห็นโฆษณาโทรหาเรา
- Sitelink extensions คือ ลิ้งต่างๆ ที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ และเราต้องการส่งลูกค้าไปหน้านั้นๆ โดยเฉพาะ เช่น หน้าโปรโมชั่น, หน้ากรอกข้อมูล
- Structured snippet extensions คือ เป็นการแบ่งประเภทของสินค้าหรือบริการ หรือ จะแบ่งเป็นแบรนด์ได้ เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีสินค้าหลายอย่างหรือบริการหลายอย่าง เช่น ตกแต่งต่อเติม, รีโนเวท, ซ่อมบำรุง, งานสแตนเลส, งานเหล็ก เป็นต้น

จดโดเมน เช่าโฮสติ้ง (มีส่วนลด)
Ad Extensions มีไว้เพื่ออะไร