เทคนิคทำโฆษณา Google Search Ads

เทคนิคการทำโฆษณา Google Search Ads ที่ต้องรู้

เทคนิคการทำโฆษณา Google Search Ads ที่ต้องรู้ เพราะว่ามีปัจจัยหลายอย่างในการจัดอันดับโฆษณา เช่น Quality Score, Ad Extension, Types of Keyword, Bidding, Landing Page, Page Speed และอื่นๆ

แต่ในบทความนี้เราจะพูดถึงการใช้เทคนิคทำโฆษณา Google แบบเน้นไปที่ Keyword ต้องดูว่าควรจะใช้ match type แบบไหน จะเหมาะกับธุรกิจเรา เขียนให้เฉพาะ ไม่หว่าน กลับหน้า กลับหลัง ระบบจะทำให้เอง ให้ใช้แบบ “..” (phrase match หรือ ฟันหนู หรือ เข้าไปอ่านชนิด Keyword ได้ที่นี่)  

ราคา Keyword เช็คยังไง

เทคนิคทำโฆษณา Google นี้ ถ้าอยากรู้ว่าราคา keyword ของแต่ละคำมีราคาในการแข่งขันคลิกละกี่บาท เราสามารถใช้ Keyword Planner ในการประเมินราคาเบื้องต้นได้ เพราะในระบบจะมี Data เกี่ยวกับราคาคลิกของแต่ละคำมาแสดงเป็นตัวเลขให้เราเลือกว่าจะใช้คำไหน มีจำนวนการค้นหาต่อเดือนจำนวนเท่าไหร่ Keyword มีการแข่งขันอยู่ในระดับ ต่ำ กลาง สูง ซึ่งตรงนี้จะเป็น Guideline ให้เราได้เป็นอย่างดี และยังมีประโยชน์ต่อการคำนวณงบประมาณในการทำโฆษณาของเราอีกด้วย  อย่างในตาราง คำแรก คือ “ทำโฆษณา ออนไลน์ ระบบจะบอก คือ Avg. monthly searches คือ มีการค้นต่อเดือน ที่ 50 ครั้ง  Competition คือ ระดับการแข่งขัน Medium อยู่ในระดับกลา แสดงว่าถ้าเราจะเลือกคำนี้ก็สามารถใช้ทำโฆษณาหรือทำ blog ได้ เพราะการแข่งขันไม่สูง Top of page bid (low range) คือ อยู่ตำแหน่งบนของการค้นหา (แต่อยู่ในช่วงราคาที่แข่งขันสูง) Top of page bid (high range) คือ อยู่ตำแหน่งบนของการค้นหา (แต่อยู่ในช่วงราคาที่แข่งขันสูง) แต่ถ้าตามตาราง ถ้าผมเลือกจะใช้คำว่า “การตลาดออนไลน์” เพราะมีการค้นหามากถึง 4400 ครั้ง/เดือน, Competition ของการแข่งขัน อยู่ใน Medium (ระดับกลาง) และการแข่งขันด้านราคาก็ไม่ได้สูงมากนัก  นอกจากนี้ เรายังสามารถดูประวัติย้อนหลังของ keyword ได้ จะกำหนดเป็นเดือน เป็นปีก็ได้  ตัวอย่าง keyword planner เพื่อหา keyword ในการทำการตลาดออนไลน์ ตัวอย่าง การใช้ Keyword Planner ในการหาคำหลักเพื่อเอามาใช้ในการโฆษณา  

เทคนิคทำโฆษณา Google โดยใช้ Ad Extensions  ต้องมี

อย่างน้อยทำสัก 3 ตัวบน โอกาสที่ลูกค้าจะคลิกโฆษณามีมากขึ้น เช่น  Call กดแล้วให้ลูกค้าโทรถามได้เลย Callout คำสั้นๆ เช่น ส่งฟรี ปรึกษาฟรี มีโปรโมชั่น Site link ใส่ไปที่หน้าอื่นๆ เช่น สินค้าอื่นๆ ติดต่อเรา เคลมสินค้า Line@ facebook, IG ขึ้นอยู่กับว่าอยากจะส่งไปหน้าไหน Structured snippet เป็นส่วนขยายเพิ่มเติม ด้วยการแสดงรายการสินค้า แบ่งตามประเภท หมวดหมู่ ทำให้ง่ายต่อการค้นหาสินค้าหรือบริการ การมีส่วนขาย ทำให้โฆษณาโดดเด่น หลายหลาย มี information เยอะกว่า ทำให้อันดับโฆษณาดีกว่า คู่แข่ง โดดเด่นกว่าคู่แข่ง ทำให้โฆษณาของเรามีพื้นที่เยอะขึ้น ลูกค้าก็มีโอกาสเห็นได้เยอะขึ้น จะช่วยให้เพิ่มยอดคลิก คลิกที่ Google Map หาร้านเราเจอง่ายขึ้น และช่วยเพิ่ม action อื่นๆ ที่เราต้องการให้ลูกค้าได้อีกด้วย  

Ad Extensions ไม่เสียเงิน

แต่ตัว Ad Extensions ไม่ได้การันตีว่าจะต้องแสดงผลในการค้นหาเสมอไป เช่น ถ้าตำแหน่งโฆษณา (Ad rank) ของคุณดี ระบบจะอนุญาตให้ Ad extension แสดงผลด้วย แต่ถ้าไม่อันดับโฆษณาที่ดี ก็จะไม่แสดงผล Ad Extensions ไม่มีต้นทุนในการทำแคมเปญโฆษณา จะคิดเพียงการคลิกที่โฆษณาเท่านั้น เช่น เราจะถูกเรียกเก็บค่าโฆษณาเมื่อลูกค้ากดคลิกโทรหาหรือมีลูกค้าดาวโหลดแอฟพลิเคชั่น Google จะเก็บค่าโฆษณาไม่เกิน 2 คลิก ต่อ impression สำหรับแต่ละโฆษณาและส่วนขยาย Ad Text+Landing Page คือ ปลายทางที่เราจะส่งต่อ เมื่อมีลูกค้าคลิกที่โฆษณาของเรา ลูกค้าจะถูกส่งต่อไป หน้า Landing Page หรือ Sale Page จากนั้น ลูกค้าจะซื้อสินค้า หรือ กรอกสมัครอะไรสักอย่าง ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าต้องการให้ลูกค้าทำอะไร

ต้องมีอย่างน้อย 2-3 ข้อความ

การทำโฆษณาใน Google Search Ads แนะนำให้ทำอย่างน้อย 3 ข้อความโฆษณาใน 1 campaign คือ 2 ข้อความโฆษณา แบบ standard และ 1 responsive ad เพราะระบบจะเลือกข้อความไหนที่มีคนคิลกมากสุด ระบบจะเลือกข้อความนั้นไปแสดงผล ซึ่งจะทำให้โอกาสเกิดคลิกมากกว่าถ้าเรามีแค่ข้อความโฆษณาเดียว ซึ่งแต่ละข้อความโฆณาต้องเขียนต่างกันบ้างในส่วนของ Headline อาจจะไม่แตกต่างกันสัก 20-30%  

ข้อความโฆษณาแบบ Standard หรือ Traditional search ads

จะมี headline 3 อัน และ Description 2 อัน ใช้กันมาตั้งแต่ปี 2016 ยังคงใช้ได้ในการทำโฆษณาแบบ Search อยู่ ปกติจะเป็น default เวลาเราทำโฆษณาจะใช้แบบนี้เป็นตัวแรกในการทำโฆษณา  แต่ปัจจุบัน Google เปลี่ยนมาใช้ Responsive text ads เป็นตัว default แล้ว  

Responsive text ad (ใน Ad group จะมีให้เลือกแบบ Responsive)

จะมี headline 15 บรรทัด ระบบจะจับ 3 ข้อความโฆษณาไปแสดงผล จะทำให้เกิดความหลาย ปรับตามคนที่ search Description จะมี 4 และระบบจับ headline และ description ไปผสมกัน แล้วเอาไปแสดงผล ประมาณการไว้ว่ามีการจัดสลับ headline และ description ถึง 43,680 ครั้ง (อ้างอิงจาก wordstream.com) เพื่อให้ได้ผลการแสดงโฆษณาที่ดีที่สุด ระบบ AI จะทำการเรียนรู้ว่าคู่ไหนมี performance ดีที่สุด และจะเอาตัวที่ดีที่สุดมาแสดงผลให้กับคนที่ค้นหา เพราะแต่ละการค้นหาของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน และ keyword ที่ใช้ค้นหาก็ไม่เหมือนกันด้วย Responsive Search Ads จะแสดงผลตาม device หรืออุปกรณ์นั้นๆ เช่น ถ้าแสดงผลในมือถือจะเห็นเพียง 3 headline หรือ 2 description แต่อย่างไรก็ตาม มันจะแสดงอย่างน้อย 2 headline และ 1 description จะไม่น้อยกว่า expanded search ads (เดี๋ยวมาเจาะรายละเอียดระหว่าง Expanded text ads กับ Responsive search ads อีกทีนะครับ เพราะรายละเอียค่อนข้างเยอะอยู่)   จากภาพตัวอย่าง ทางด้านขวาจะมี scale บอกว่าข้อความโฆษณาความเรามีประสิทธิภาพมากขนาดไหน ถ้าดี จะเป็นสีเขียว แนะนำให้ทำเป็นสีเขียวให้ได้ เพราะจะเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาให้ดียิ่งขึ้น สิ่งสำคัญ ต้องใส่ “keyword” ใน headline นั้นด้วย เพราะเวลาลูกค้าค้นหาอะไร โดยธรรมชาติคนจะต้องหาสิ่งที่เขาต้องการหาก่อนเสมอ โอกาสที่คนจะคลิกโฆษณาจะมีมากกว่า ตัวอย่าง Responsive Ads ในการทำโฆษณาใน Google Search Ads ตัวอย่าง การทำโฆษณาแบบ Responsive Ads ใน Google Search Ads   ถ้าโฆษณาเราโดนคลิกมาก โอกาสที่โฆษณาเราจะขยับอันดับขึ้นมาบน หรือ ขึ้นอันดับก็มีสูงเช่นกัน ถ้าสินค้ามี 2 ชนิดที่แตกต่างกันใน campaign ต้องทำ Ad group แยกกันไปเลย เพราะ การใช้ keyword และข้อความโฆษณาก็ต้องเขียนต่างกัน จะเอามารวมกันไม่ได้ จะทำให้คน ที่คลิกข้อโฆษณาเราจะงง เช่น ลูกค้าหารองเท้าวิ่ง  แต่หน้า landing page เป็นหน้าขายเสื้อหรือ กางเกงวิ่ง คนที่คลิกโฆษณา เขาอยากได้รองเท้า ไม่ใช่อยากได้เสื้อหรือกางเกง   ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้ากดคลิกให้มากที่สุด คือ ให้คลิกครั้งเดียว เจอสินค้าที่เขากำลังหา แล้วกดสั่งซื้อได้เลย

จดโดเมน เช่าโฮสติ้ง (มีส่วนลด)

เทคนิคทำโฆษณา Google Search Ads
ขอบคุณที่แชร์ครับ
Scroll to top