เลือกอ่านหัวข้อที่ต้องการได้เลย
ทำให้ค่าโฆษณา google ถูกลง เราควรจะต้องทำยังไงบ้าง และทำให้โฆษณาติดอันดับด้วย ทำได้จริงหรือ
โดยการทำงานของระบบการคิดเงินของ Google Ads คือ การประมุูล ต้องสู้และแข่งเจ้าอื่นๆ ที่มาลงโฆษณา รายอื่นๆ ใน keyword เดียวกัน ถ้ามีการแข่งขันกันเยอะในธุรกิจนั้นๆ ก็จะทำให้ค่าคลิกต่อ keyword แพงไปด้วย เช่น พวกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ขายบ้าน ขายคอนโด ยิ่งถ้ารถไฟฟ้าด้วยแล้วค่าคลิกจะค่อนข้างแพงมาก ที่นี่ เรามาดูกันว่ามีวิธีอะไรบ้างที่จะทำให้ค่าคลิกให้ถูกลง วิธีที่ 1 หลีกเลี่ยง keyword ที่ไม่ต้องแข่งขันสูง อาจจะเป็น keyword ใกล้เคียง หรือ อาจจะทำเป็นแบบผสมก็ได้ เช่น คำหลัก รองเท้าวิ่ง อาจจะใช้เป็น “รองเท้าวิ่งระยะสั้น” “รองเท้าวิ่งมินิมาราธอน” “รองเท้าวิ่งผู้ชายไนกี้” “แนะนำรองเท้าวิ่ง” ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยง คำหลัก “รองเท้าวิ่ง” ซึ่งมีราคาต่อคลิกค่อนข้างสูง *ตอนนี้ชนิดคำหลัก จะไม่มี board match modifier แล้ว จะปรับเป็น “…” (phrase match) ทั้งหมด วิธีที่ 2 จำกัดพื้นโฆษณา ไม่หว่าน เพราะจะทำให้เสียเงิน แล้วได้ผลลัพธ์แบบไม่คุ้ม เช่น ถ้ามีคุณมีหน้าร้านซ่อมแอร์ แถวพระราม 3 คุณต้องจำกัดพื้นที่โฆษณา ไม่โฆษณากว้างจนเกินไป เช่น โฆษณาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งพื้นที่ใหญ่มาก แนะนำให้ทำรัศมีบริการประมาณ 5-10 กม โดยยึดหน้าร้านเป็นศูนย์กลาง แบบนี้จะทำให้เรามีโอกาสได้ลูกมากกว่า เพราะพื้นที่บริการ ไม่ได้ไกลจากพระราม 3 และถ้าลูกค้ามีบ้านอยู่ที่คลอง 4 ปทุม ลูกค้าเองก็คงคิดหนักเหมือนกัน ถ้าจะใช้ร้านที่อยู่พระราม 3 และเราสามารถปรับ bid ให้สูงขึ้นเพื่อสู้กับร้านแอร์เจ้าอื่นได้ วิธีที่3 เลือการประมูลแบบ Maximize click ระบบจะหา click ให้มากที่สุด และเราสามารถกำหนด Max CPC สูงสุด 10 บาท หมายความว่า ระบบจะจ่าย ค่าคลิกสูงสุดไม่เกิน 10 บาท อันดับอาจจะไม่ได้อยู่ลำดับต้นๆ แต่อาจจะอยู่หน้าแรก วิธีที่ 4 เป็นได้ใช้เว็บไซต์ทำโฆษณาจะดีที่สุด หลายๆคน ไม่ได้มีเว็บไซต์เพื่อเอาไว้ทำการตลาดออนไลน์ เพราะใช้ Social Media อื่นในการติดต่อกับลูกค้า เช่น facebook, Instagram, Tiktok, Twitter ฯลฯ จริงๆ ก็สามารถใช้โซเซียลพวกนี้ทำการ โฆษณาใน Google Ads ได้เหมือนกัน แต่จะเสียเปรียบเว็บไซต์ค่อนข้างเยอะหน่อย เพราะการทำโฆษณาใน Google จะมีในส่วนของ Ad Extensions หรือ เรียกว่า ส่วนขยายโฆษณา และเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่ม Quality Score ให้กับโฆษณา ยิ่งถ้ามีสินค้าหลายประเภท เว็บไซต์ดูจะเหมาะกว่า เพราะเมื่อคลิกมาที่เว็บแล้ว เว็บไซต์จะเป็นสัดส่วนกว่า แยกประเภทสินค้า ได้ชัดเจนกว่า แต่ถ้าเป็นพวก Social ถ้าคุณมีจำนวนประเภทสินค้าเยอะเนี่ย นึกดูกว่าจะไถหาสินค้าเจอ ค่อนข้างเสียเวลามาก เว็บไซต์สามารถวางๅ code เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ทางการตลาดได้ เช่น Google Analytics หรือ Google Tag Manager เอาไว้จัดการโค้ดต่างๆ ที่จำเป็นในการทำ Tracking ซึ่งจะมีประโยชน์มากๆ ในการนำมาวิเคราะห์ เพื่อวางแผน ด้านการตลาดออนไลน์ต่อไป วิธีที่ 5 ทำ Remarketing ถ้าเป็น Google Search จะเรียกว่า Remarketing Search Ads (RLSA) ระบบจะแสดงโฆษณาให้กับคนที่เคยเข้า website เราแล้ว จะถูกฝัง cookies เวลาคนมา search ใน google เพื่อหาสินค้าหรือบริการอีกครั้ง ลูกค้าจะเห็นโฆษณาแคมเปญโฆษณาของเราที่ได้ทำขึ้นมา วิธีนี้จะใช้กับคนที่เคยเข้า website เราแล้วโดยการค้นหาสินค้าหรือบริการเราใน google search ทำการ search ครั้งที่ 1 และ search เข้ามาอีกครั้ง 2 ด้วย keyword ที่เราซื้อไว้ โอกาสที่คนกลุ่มนี้จะซื้อสินค้าหรือบริการเรามีค่อนข้างสูง แนะนำให้ทำโฆษณาที่มีโปรแรงๆ พิเศษสุดๆ เพื่อจูงใจให้คนกลุ่มนี้ตัดสินใจซื้อจดโดเมน เช่าโฮสติ้ง (มีส่วนลด)
ทำให้ค่าโฆษณา google ถูกลง