เลือกอ่านหัวข้อที่ต้องการได้เลย
โฆษณา Google Search Ads ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่าจะเลือกใช้กลยุทธ์ Automated Bidding (Smart bidding) แบบไหนถึงจะเหมาะกับแคมเปญโฆษณาของเรา
ประเภทของ Bidding เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการทำโฆษณา ยังมีส่วนสำคัญอื่นๆ ที่มีผลต่ออันดับโฆษณา เช่น คะแนนคุณภาพ (Quality Score) การเลือกใช้ Keyword การทำ Yoast SEO (แนะนำว่าต้องทำ ขาดไม่ได้) และอื่นๆ ซึ่งผมจะค่อยทำบทความออกมาเพื่อให้ได้ศึกษาและเอาไปใช้กัน
ประเภทของ Bidding Strategies
1. Maximize click
เน้นให้ได้คลิกเยอะสุดเท่าที่ระบบให้ทำให้ได้ภายงบประมาณที่คุณมี และเมื่อได้คลิกเยอะแล้ว มันจะทำให้ต้นทุนต่อการคลิกถูกลงไปด้วย และเราได้จะ triffic ให้เว็บไซต์เรา แต่ตำแหน่งโฆษณาอาจจะไม่ได้อยู่บน เท่าของคู่แข่ง เน้นให้เกิด traiffic เป็นหลัก ข้อดี คือ เราสามารถคุมค่าใช้จ่ายต่อคลิกได้ แต่ถ้าคุณไม่ได้กำหนด Max CPC ระบบจะทำให้คุณได้คลิกมากที่สุดภายงบที่คุณตั้งไว้2. Target ROAS (Return on ad spending)
เงินโฆษณาที่ลงไปแล้วมันทำให้ผลลัพธ์ได้กลับคืนมาเท่าไหร่ เน้นไปที่ได้กี่เปอร์เซ็นต์ เช่น ขายสินค้าได้ 100,000 บาท เงินโฆษณา 10,000 สูตรคิด คือ (ยอดขาย/เงินโฆษณา) x100 = 100,000/10,000 x 100 =1000% หรือ 10 เท่า ก็แปลว่า ทุกๆ 100 บาท คุณจะได้รายรับกลับมา 1000 บาท จะแตกต่างกับ ROI (Returen on investment) คือ ลงทุนไปเท่าไหร่ และสุดท้ายได้ผลกำไรเท่าไหร่ ไม่สนใจว่าจะได้ จะรวมต้นทุนทุกอย่างที่ลงไปในแคมเปญนั้นๆ สูตรกาคิด คือ กำไร/ต้นทุนทั้งหมด x 100 = ROI เช่น ขายสินค้า ได้ 100,000 บาท ค่าโฆษณา 10, 000 บาท ต้นทุนสินค้า 60,000 บาท ขั้นแรก ยอดขาย – ต้นทุนทั้งหมด จะได้ 100,000 – (10,000+60,000) = 30,000 ขั้นที่สอง (30,000/70,000) x 100 =42.85% ภาพตัวอย่างการใช้ Bidding Strategies ในการโฆษณา Google Search Ads ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการอะไรจากเคมเปญโฆษณา3. Maximise conversions
การทำวิธีนี้ ต้องรู้คร่าวก่อนว่า cost/conversion ของเราอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ หรือถ้าไม่รู้ ก็ให้ระบบไปลอง bid เพื่อหา ต้นทุนต่อ conversion ก่อน ระบบมันจะ bid ขึ้นลงตามราคาตลาดเป็น base ถ้าระบบเห็นว่าคนที่คลิกเข้ามาน่าจะเกิด conversion ระบบมันจะ bid ให้สูงขึ้น เพื่อให้ได้ conversion แต่ถ้าคนที่คลิกเข้ามา ระบบดูแล้วว่าไม่น่าจะเกิด conversion ระบบก็จะ bid น้อยกว่า โดยรวม คือ ระบบจะหาคนที่จะทำเกิด conversion ในการซื้อหรือทำ action กับเว็บไซต์เราให้มากที่สุด โดยที่ไม่สนใจว่าราคาต่อ convesion จะเป็นเท่าไหร่ ไม่สามารถกำหนดราคาต่อ conversion ไม่ได้ เมื่อเราตั้งบประมาณโฆษณารายวันแล้ว หากเลือกการประมูลแบบนี้ ระบบจะตั้งค่า bid ให้อัตโนมัติเพื่อให้ได้ conversion มากที่สุดภายใต้งบประมาณที่เราได้ตั้งไว้ เป็นการใช้ machine learning เรียนรู้ว่าระบบจะ bid ที่เท่าไหร่ ณ เวลานั้น ข้อแนะนำ ต้องติด conversion tracking ก่อน4. Maximise conversion value
ทำยังไงก็ได้ให้ได้รายได้กลับมาเยอะที่สุด ระบบจะ bid หาคนที่ซื้อที่น่าจะของเยอะ หรือ ของแพง เราไม่สามารถคุมอะไรไม่ได้เลย ระบบจะทำให้ทุกอย่าง ต้องติด conversion tracking ในเว็บไซต์ เพื่อ track ราคาสินค้า ระบบจะส่กลับมา จะทำให้เรารู้วา campaign นี้ ขายสินค้าได้เท่าไหร่ ได้เงินกลับมาเท่าไหร่5. Target impression share (ส่วนแบ่งในการโฆษณา)
ไม่สนใจเรื่อง click, conversion จะสนใจเพียงแค่ Impression ที่จะได้ ระบบจะแสดงผลโฆษณาให้ได้มากที่สุด บอกระบบว่าเราต้องการแสดงตำแหน่งบนหน้า serech resul ใส่จำนวนเปอร์เซ็นต์ลงไปเลย ตั้งค่าได้ว่าห้าม bid เกิน CPC ที่เรากำหนดไว้ ระบบนี้ คนทำโฆษณาอยากให้โฆษณาแสดงผลให้มากสุด ส่วนจะคลิกได้เท่าไหร่ ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่6. Enhanced CPC หรือ eCPC
ก็เหมือนกัน CPC แหละครับ เพียงแต่ ตัวนี้จะมีระบบเข้ามาช่วยในการประมูล (ต้องมี conversion tracking) จัดเป็น Smart bidding ทำโดยให้ระบบเรียนรู้ จากพฤติกรรมของ User เช่น ถ้ามีแนวโน้มจะเกิด conversion ระบบจะเพิ่ม bid ให้อีก 30% เพื่อแสดงโฆษณาในตำแหน่งทีดีขึ้น มีโอกาสเกิดการคลิกมากขึ้น แต่มันมีแนวโน้มจะไม่เกิดการคลิก ระบบจะปรับลด bid ลง 30% ให้เราโดยอัตโนมัติ สรุป คือ การทำโฆษณา Google Search Ads เราต้องรู้ก่อนว่าเราต้องการอะไรจากแคมเปญโฆษณา เพราะแต่ละประเภทของ Bidding หรือ การประมูล ทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน หน้าที่ใครหน้าที่มัน อาจจะดูยุ่งยากสักนัดหนึ่ง แต่ถ้าเราทำถูกต้อง โฆษณาของเราจะมีประสิทธิภาพและได้ตามที่เราต้องการครับจดโดเมน เช่าโฮสติ้ง (มีส่วนลด)
โฆษณา Google กับการเลือกใช้ Bidding Strategies